Home History นโปเลียน โบนาปาร์ต คือใคร ? จักรพรรดิผู้สร้างและล่มสลายของจักรวรรดิฝรั่งเศส

นโปเลียน โบนาปาร์ต คือใคร ? จักรพรรดิผู้สร้างและล่มสลายของจักรวรรดิฝรั่งเศส

42
0

นโปเลียน โบนาปาร์ต คือใคร ? สำหรับหลายคน ชื่อนี้เชื่อมโยงกับยุคสมัยแห่งสงคราม การขยายดินแดน และการปฏิวัติทางการเมือง นโปเลียน โบนาปาร์ต จักรพรรดิแห่งฝรั่งเศสในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่สุดที่สร้างผลกระทบอย่างมหาศาลในประวัติศาสตร์ยุโรปและโลก เขาไม่เพียงแต่เป็นผู้นำทหารที่เชี่ยวชาญ แต่ยังเป็นนักปกครองผู้ที่สร้างสรรค์กฎหมายและระบบการปกครองที่ยังมีผลสืบเนื่องจนถึงปัจจุบัน

ชีวิตในวัยเยาว์และการเข้าสู่โลกทหาร

นโปเลียน โบนาปาร์ต

นโปเลียน โบนาปาร์ต เกิดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1769 บนเกาะคอร์ซิกา เกาะที่ในขณะนั้นเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ภายหลังจากการปกครองของสาธารณรัฐเจนัว ครอบครัวของนโปเลียนเป็นชนชั้นกลางที่มีต้นกำเนิดจากชาวอิตาลี แม้ว่าจะมีสถานะทางสังคมที่ดีแต่ไม่ได้ร่ำรวยอย่างที่หลายคนอาจจะคาดคิด บิดาของเขา คาร์โล มาเรีย ดิ โบนาปาร์ต (Carlo Maria di Buonaparte) เป็นทนายและนักการเมืองท้องถิ่น ขณะที่แม่ของเขา เลติเซีย โรมาลิโน (Letizia Ramolino) เป็นผู้ที่เลี้ยงดูนโปเลียนและพี่น้องอีกเจ็ดคนด้วยความเข้มงวดและความรัก ครอบครัวของนโปเลียนแม้จะไม่ได้ร่ำรวย แต่พ่อของเขาก็มีความสัมพันธ์ทางการเมืองกับชนชั้นสูงในฝรั่งเศส ซึ่งทำให้เขาสามารถส่งนโปเลียนไปศึกษาที่โรงเรียนทหารได้

นโปเลียนแสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานและความมุ่งมั่นตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยบุคลิกที่แข็งแกร่งและความสามารถในการเรียนรู้ เขาได้รับทุนการศึกษาให้เข้าเรียนที่โรงเรียนทหารแบรนน์ (Brienne Military Academy) ในฝรั่งเศสเมื่ออายุเพียง 9 ปี แม้ว่าในช่วงแรกนโปเลียนจะถูกเพื่อนร่วมชั้นบางคนล้อเลียนเรื่องสำเนียงอิตาเลียนและสถานะทางสังคมของเขา แต่ความเฉลียวฉลาดและความสามารถด้านการทหารทำให้เขาได้รับความเคารพจากเพื่อนร่วมชั้นในที่สุด

หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนทหารแบรนน์ นโปเลียนได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนการทหารชั้นสูงที่ปารีส (École Militaire) ซึ่งในขณะนั้นเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงที่สุดในฝรั่งเศส นโปเลียนสามารถสำเร็จการศึกษาภายในหนึ่งปี (ซึ่งเป็นระยะเวลาที่รวดเร็วเมื่อเทียบกับนักเรียนคนอื่น) โดยเขามุ่งเน้นการศึกษาด้านปืนใหญ่ ซึ่งถือว่าเป็นทักษะสำคัญในสงครามยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีปืนใหญ่มากขึ้น

ในปี ค.ศ. 1785 ขณะอายุเพียง 16 ปี นโปเลียนได้เข้ารับตำแหน่งเป็นนายทหารชั้นผู้น้อยในกองทัพฝรั่งเศส เขาถูกส่งไปประจำการที่เมืองวาลองซ์ (Valence) และที่นี่เองที่เขาเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับการทหารในสภาวะจริง ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับความขัดแย้งทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงภายในประเทศจากการปฏิวัติฝรั่งเศส ความสับสนและความไม่แน่นอนทางการเมืองเปิดโอกาสให้นโปเลียนสามารถสร้างชื่อเสียงขึ้นมาได้

ความสามารถพิเศษทางทหารของนโปเลียนปรากฏขึ้นในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประเทศฝรั่งเศสต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจอย่างรุนแรง นโปเลียนสามารถแสดงความกล้าหาญและการวางแผนที่ชาญฉลาดในสงครามครั้งแรกๆ ของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุทธการแห่งตูลอน (Siege of Toulon) ในปี ค.ศ. 1793 ที่เขาได้สาธิตความสามารถในการบัญชาการที่โดดเด่นจนได้รับการโปรโมทเป็นนายพลตั้งแต่อายุยังน้อย

การปฏิวัติฝรั่งเศสทำให้นโปเลียนมีโอกาสที่จะสร้างอิทธิพลและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญในกองทัพ เนื่องจากระบบเก่าได้ถูกล้มล้าง และฝรั่งเศสต้องการผู้นำที่มีความสามารถในการปกป้องประเทศจากศัตรูภายในและภายนอก นโปเลียนจึงกลายเป็นหนึ่งในผู้นำทหารที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในช่วงนี้ และเขาได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะไม่หยุดเพียงแค่การเป็นนายพล แต่ยังต้องการก้าวสู่การเป็นผู้นำสูงสุดของฝรั่งเศส

ก้าวสู่การเป็นผู้นำฝรั่งเศส

ความสามารถทางการทหารของนโปเลียน โบนาปาร์ตปรากฏเด่นชัดตั้งแต่ยุทธการแห่งตูลอน (Siege of Toulon) ในปี ค.ศ. 1793 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่เปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตของเขา ตูลอนเป็นเมืองท่าเรือสำคัญของฝรั่งเศสที่ฝ่ายกษัตริย์นิยมได้ยึดครอง และมีการร่วมมือกับกองทัพอังกฤษเพื่อต่อต้านการปฏิวัติฝรั่งเศส นโปเลียน ซึ่งในขณะนั้นยังคงเป็นนายทหารระดับกลาง ได้รับมอบหมายให้วางแผนโจมตีและปิดล้อมเมืองตูลอน การบัญชาการที่เฉียบขาดและความสามารถในการใช้กลยุทธ์ทางทหารของเขาทำให้ฝ่ายปฏิวัติสามารถยึดเมืองกลับคืนมาได้ การรบครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ฝรั่งเศสสามารถรักษาท่าเรือสำคัญได้ แต่ยังเป็นการเปิดเผยศักยภาพทางทหารของนโปเลียนสู่สาธารณชน

จากชัยชนะในตูลอน นโปเลียนได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นนายพล ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติอย่างมากสำหรับผู้ที่ยังอายุน้อยเช่นเขา ต่อมาเขายังคงทำผลงานในสงครามหลายครั้ง ทำให้เขาได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากทั้งกองทัพและผู้นำทางการเมืองในฝรั่งเศส ในช่วงเวลานี้ ประเทศฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับความไม่มั่นคงทางการเมืองและความขัดแย้งภายในหลังจากการปฏิวัติ สาธารณรัฐฝรั่งเศสถูกปกครองโดยคณะกรรมการผู้นำที่เรียกว่า “คณะผู้แทนสาธารณรัฐ” (Directory) ซึ่งมีการปกครองที่ไร้ประสิทธิภาพและเต็มไปด้วยการคอร์รัปชัน ทำให้ประชาชนเริ่มหมดความเชื่อมั่นในรัฐบาล

นโปเลียนมองเห็นโอกาสที่จะก้าวขึ้นสู่อำนาจจากความวุ่นวายทางการเมืองเหล่านี้ ในปี ค.ศ. 1799 ขณะที่ฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากทั้งภายนอกและภายใน นโปเลียนได้ทำการรัฐประหาร (Coup of 18 Brumaire) ยึดอำนาจจากคณะผู้แทนสาธารณรัฐ โดยอ้างว่าต้องการฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยในประเทศ เขาใช้สถานการณ์ที่ไม่มั่นคงเป็นเครื่องมือในการรวบรวมอำนาจภายใต้ตนเอง และได้รับการแต่งตั้งเป็น “กงสุลอันดับหนึ่ง” (First Consul) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทรงอำนาจที่สุดในรัฐบาลฝรั่งเศส

การรัฐประหารของนโปเลียนไม่ได้พบกับการต่อต้านมากนัก เนื่องจากประชาชนและกองทัพมองเห็นถึงศักยภาพของเขาในการนำประเทศกลับสู่ความมั่นคง การปกครองของนโปเลียนในฐานะกงสุลอันดับหนึ่งเต็มไปด้วยการปฏิรูปและการพัฒนา เขามุ่งเน้นที่จะสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง รวมถึงการปฏิรูปกฎหมายอย่างเป็นระบบ ซึ่งหนึ่งในผลงานที่สำคัญที่สุดของเขาคือการจัดทำ “กฎหมายโบนาปาร์ต” หรือ “Napoleonic Code” ในปี ค.ศ. 1804 ซึ่งเป็นระบบกฎหมายที่ส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆ ในยุโรปและโลก โดยกฎหมายนี้ยึดหลักความเท่าเทียมกันทางกฎหมาย ความเสรีภาพส่วนบุคคล และการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ นอกจากนี้ เขายังสร้างระบบการศึกษาและโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ช่วยทำให้ฝรั่งเศสกลับมาเป็นศูนย์กลางทางอำนาจในยุโรปอีกครั้ง

หลังจากที่นโปเลียนได้สถาปนาตนเองเป็นผู้นำสูงสุดของฝรั่งเศสในฐานะกงสุลอันดับหนึ่ง เขายังคงมีความทะเยอทะยานในการขยายอำนาจและสร้างจักรวรรดิฝรั่งเศสให้ยิ่งใหญ่ ในปี ค.ศ. 1804 นโปเลียนประกาศตนเองเป็นจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส (Emperor of the French) และเปลี่ยนแปลงฝรั่งเศสจากสาธารณรัฐเป็นจักรวรรดิอย่างเป็นทางการ การประกาศตัวเป็นจักรพรรดิของเขาเป็นการยืนยันถึงความเป็นผู้นำที่มีอำนาจสูงสุดในประเทศและยุโรป

นโปเลียนไม่หยุดเพียงแค่การรวบรวมอำนาจภายในประเทศ แต่ยังเริ่มขยายอาณาเขตของฝรั่งเศสอย่างต่อเนื่องด้วยการนำทัพในการรณรงค์สงครามหลายครั้ง ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เขาใช้กองทัพฝรั่งเศสที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปเพื่อขยายอาณาจักรของตนเอง ยุทธวิธีการสงครามที่เน้นความรวดเร็วในการเคลื่อนทัพและการใช้ทรัพยากรอย่างชาญฉลาดทำให้นโปเลียนสามารถครอบครองดินแดนในยุโรปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงสงครามนโปเลียน (Napoleonic Wars) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1803-1815 ฝรั่งเศสภายใต้การนำของเขาได้กลายเป็นมหาอำนาจที่ขยายไปทั่วทั้งยุโรป

จักรวรรดิของนโปเลียนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเขาสามารถยึดครองดินแดนในอิตาลี สเปน เนเธอร์แลนด์ และพื้นที่บางส่วนของเยอรมนีและโปแลนด์ การขยายอาณาจักรเหล่านี้ทำให้ฝรั่งเศสกลายเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในยุโรปในช่วงต้นศตวรรษที่ 19

อย่างไรก็ตาม ความทะเยอทะยานในการขยายจักรวรรดิของนโปเลียนในที่สุดก็กลายเป็นดาบสองคม เพราะการขยายอำนาจอย่างต่อเนื่องนำมาซึ่งการต่อต้านจากหลายประเทศในยุโรป เช่น อังกฤษ รัสเซีย และปรัสเซีย ที่รวมตัวกันเพื่อต่อต้านฝรั่งเศส ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นต่อมาในช่วงสงครามครั้งใหญ่ได้นำไปสู่การพ่ายแพ้ของนโปเลียนในที่สุด

ยุทธวิธีและชัยชนะทางทหาร

นโปเลียน โบนาปาร์ต เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะนักการทหารที่มีพรสวรรค์และเชี่ยวชาญในยุทธวิธีการรบ เขาได้พัฒนากลยุทธ์ทางทหารที่โดดเด่นซึ่งทำให้กองทัพฝรั่งเศสสามารถคว้าชัยชนะในสงครามสำคัญหลายครั้ง ความสำเร็จในสนามรบของนโปเลียนมีความสำคัญต่อการสร้างจักรวรรดิฝรั่งเศสและการขยายอาณาจักรออกไปทั่วทวีปยุโรป ความสามารถในการจัดการกองทัพขนาดใหญ่และวางแผนการโจมตีที่ซับซ้อนทำให้นโปเลียนเป็นที่ยอมรับในฐานะหนึ่งในนักการทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

ยุทธวิธีการเคลื่อนที่รวดเร็ว (La manoeuvre sur les arrières)

หนึ่งในยุทธวิธีที่นโปเลียนใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญและมีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ การเคลื่อนที่รวดเร็ว หรือที่เรียกว่า La manoeuvre sur les arrières ซึ่งนโปเลียนจะใช้ในการเคลื่อนกองทัพอย่างรวดเร็วเพื่อเข้าตีฝ่ายศัตรูจากด้านหลังหรือด้านข้าง นโปเลียนเชื่อมั่นในพลังของการโจมตีที่ไม่คาดคิดและการใช้ภูมิประเทศให้เป็นประโยชน์ การเคลื่อนที่รวดเร็วของกองทัพทำให้ศัตรูไม่สามารถจัดตั้งการป้องกันได้ทันเวลา โดยกองทัพของนโปเลียนมักจะปรากฏตัวในจุดที่ศัตรูไม่ได้คาดการณ์ไว้

ยุทธวิธีนี้ถูกใช้ในหลายสมรภูมิที่สำคัญ เช่น ยุทธการอัลสเตอร์ลิทซ์ (Battle of Austerlitz) ในปี ค.ศ. 1805 ซึ่งนโปเลียนสามารถหลอกล่อให้กองทัพของจักรวรรดิออสเตรียและจักรวรรดิรัสเซียเข้ามาติดกับดัก และเข้าตีอย่างเด็ดขาดจากด้านข้างและด้านหลัง นโปเลียนใช้แผนการลวงและการจัดกำลังที่ชาญฉลาด ทำให้สามารถสร้างชัยชนะอย่างถล่มทลายในการรบครั้งนี้

ยุทธการแบ่งแยกและครอง (Divide and Conquer)

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่นโปเลียนใช้บ่อยครั้งคือ ยุทธการแบ่งแยกและครอง (Divide and Conquer) ซึ่งเป็นการใช้กำลังของตนเองในการแยกกองทัพของศัตรูออกเป็นส่วนๆ แล้วเข้าตีแต่ละส่วนทีละส่วน นโปเลียนเข้าใจดีว่าการเผชิญหน้ากับกองทัพใหญ่ในครั้งเดียวอาจทำให้กองทัพฝรั่งเศสตกอยู่ในความเสี่ยง ดังนั้น เขามักจะพยายามแยกกองกำลังของศัตรูให้แตกออกจากกันเพื่อให้กองทัพฝรั่งเศสมีโอกาสโจมตีในส่วนที่อ่อนแอก่อน

ตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้ยุทธวิธีนี้คือ ยุทธการเยนา-เอาเออร์ชเต็ท (Battle of Jena-Auerstedt) ในปี ค.ศ. 1806 นโปเลียนสามารถแยกกองทัพปรัสเซียออกเป็นสองกองกำลัง และเข้าโจมตีทั้งสองกองทัพในเวลาเดียวกัน แต่ในสถานที่ที่แตกต่างกัน ส่งผลให้กองทัพปรัสเซียพ่ายแพ้ทั้งสองด้าน นโปเลียนใช้กำลังที่มีอยู่ในการโจมตีอย่างแม่นยำและรวดเร็ว ทำให้กองทัพฝรั่งเศสสามารถคว้าชัยชนะอย่างไม่ยากเย็น

การใช้ปืนใหญ่เป็นอาวุธหลัก (The Grand Battery)

ปืนใหญ่เป็นอาวุธสำคัญในยุทธวิธีของนโปเลียน เขาเข้าใจถึงพลังของปืนใหญ่ในการทำลายแนวป้องกันของศัตรูและสร้างความตื่นตระหนกในหมู่ทหารศัตรู นโปเลียนได้พัฒนายุทธวิธีการใช้ ปืนใหญ่ขนาดใหญ่ (Grand Battery) ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มปืนใหญ่จำนวนมากเข้าด้วยกันเพื่อยิงถล่มแนวศัตรูเป็นระยะเวลานาน ยุทธวิธีนี้ช่วยให้กองทัพของนโปเลียนสามารถเจาะแนวป้องกันของศัตรูได้อย่างมีประสิทธิภาพก่อนที่จะส่งกองกำลังทหารราบและทหารม้าเข้าทำการโจมตี

การใช้ปืนใหญ่ในยุทธวิธีของนโปเลียนเป็นที่รู้จักในหลายสมรภูมิ เช่น ยุทธการวาแกรม (Battle of Wagram) ในปี ค.ศ. 1809 ที่ปืนใหญ่ถูกใช้ในการเปิดทางให้กองทัพฝรั่งเศสเข้าตีศัตรูได้สำเร็จ

ยุทธการอัสเตอร์ลิทซ์ (Battle of Austerlitz) ค.ศ. 1805

หนึ่งในชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนโปเลียนคือ ยุทธการอัสเตอร์ลิทซ์ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นยุทธการที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาอย่างมหาศาล ในยุทธการนี้ นโปเลียนต้องเผชิญกับกองทัพผสมของจักรวรรดิออสเตรียและจักรวรรดิรัสเซีย ที่มีกำลังทหารเหนือกว่าฝรั่งเศส แต่ด้วยการใช้ยุทธวิธีการลวงและการวางแผนที่ซับซ้อน นโปเลียนสามารถล่อให้กองทัพของศัตรูเคลื่อนที่เข้าสู่ตำแหน่งที่อ่อนแอ ก่อนจะเปิดการโจมตีจากหลายทิศทาง

นโปเลียนใช้ภูมิประเทศที่เป็นเนินและทะเลสาบเป็นเครื่องมือในการรบ เขาได้หลอกล่อให้ศัตรูคิดว่าฝรั่งเศสกำลังถอยทัพ แล้วเข้าตีอย่างรวดเร็วในขณะที่ศัตรูอยู่ในตำแหน่งที่ไม่พร้อมสำหรับการป้องกัน ผลลัพธ์จากยุทธการนี้คือชัยชนะอันเด็ดขาดของฝรั่งเศส ซึ่งทำให้นโปเลียนได้รับการยกย่องในฐานะผู้บัญชาการที่ยอดเยี่ยมและนักวางแผนสงครามที่เฉียบแหลม

ยุทธการวอเตอร์ลู (Battle of Waterloo) ค.ศ. 1815: จุดจบของความยิ่งใหญ่

แม้ว่านโปเลียนจะมีชัยชนะในหลายสมรภูมิ แต่ในที่สุดเขาก็ต้องพ่ายแพ้ในยุทธการวอเตอร์ลูในปี ค.ศ. 1815 ซึ่งเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของเขา นโปเลียนพยายามรวบรวมกองทัพใหม่เพื่อทำการรบกับกองกำลังพันธมิตรที่นำโดยดยุคแห่งเวลลิงตันจากอังกฤษและปรัสเซีย ภายใต้การนำของฟอน บลูเชอร์ (von Blücher)

นโปเลียนพยายามใช้ยุทธวิธีการโจมตีรวดเร็วเช่นเดิม แต่ด้วยสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ การรบครั้งนี้กลับกลายเป็นจุดจบของเขา กองทัพฝรั่งเศสถูกตีแตกอย่างเด็ดขาด และนโปเลียนถูกเนรเทศไปยังเกาะเซนต์เฮเลนา ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของอาชีพการทหารของเขา

การวางแผนอย่างชาญฉลาดและความสามารถในการประเมินสถานการณ์

นโปเลียนไม่ได้พึ่งพากำลังทหารเพียงอย่างเดียว แต่ยังอาศัยการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนและความสามารถในการปรับเปลี่ยนแผนการรบตามสถานการณ์ เขามักจะวิเคราะห์สถานการณ์และศัตรูอย่างรอบคอบก่อนการรบ และมักจะใช้ความคล่องตัวของกองทัพในการโจมตีศัตรูในจุดที่คาดไม่ถึง ความสามารถในการคิดและตัดสินใจที่รวดเร็วทำให้เขาสามารถคว้าชัยชนะได้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากหลายครั้ง

การปฏิรูปภายในประเทศ

แม้นโปเลียนจะมีชื่อเสียงในฐานะนักการทหารที่เก่งกาจ แต่ความสำเร็จที่โดดเด่นไม่แพ้กันของเขาคือการปฏิรูปภายในประเทศฝรั่งเศสหลังจากการขึ้นสู่อำนาจในปี ค.ศ. 1799 นโปเลียนมีวิสัยทัศน์ที่จะฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยและเสถียรภาพในฝรั่งเศสหลังจากการปฏิวัติที่ยาวนานและยุ่งเหยิง ซึ่งนำไปสู่ความไม่แน่นอนทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ เขาเชื่อว่าการปฏิรูปในระดับรากฐานของประเทศเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ฝรั่งเศสกลับมาเป็นประเทศที่มีอำนาจและแข็งแกร่งในยุโรป

กฎหมายโบนาปาร์ต (Napoleonic Code)

หนึ่งในผลงานสำคัญที่สุดของนโปเลียนในด้านการปฏิรูปคือการจัดทำ “กฎหมายโบนาปาร์ต” หรือ “Napoleonic Code” ในปี ค.ศ. 1804 กฎหมายนี้เป็นการปฏิรูปกฎหมายครั้งใหญ่ที่จัดระเบียบและรวมกฎหมายของฝรั่งเศสให้เป็นระบบเดียวกัน กฎหมายนี้เน้นเรื่องความเท่าเทียมกันทางกฎหมาย ความเสมอภาคในการรับโทษ และการปกป้องสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล หลักการของกฎหมายโบนาปาร์ตมีความก้าวหน้าและทันสมัยมากในยุคนั้น โดยยกเลิกระบบชนชั้นและอภิสิทธิ์ชน ลดอิทธิพลของคริสตจักรในด้านกฎหมาย และสร้างความเป็นธรรมในสังคม

กฎหมายนี้ส่งผลกระทบต่อหลายประเทศในยุโรปที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของนโปเลียนในช่วงสงครามนโปเลียน และเป็นต้นแบบให้กับการปฏิรูปกฎหมายในหลายประเทศทั่วโลก กฎหมายโบนาปาร์ตถือเป็นรากฐานของระบบกฎหมายสมัยใหม่ในยุโรปหลายประเทศ และยังมีผลบังคับใช้ในบางประเทศจนถึงปัจจุบัน เช่น ฝรั่งเศส เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และประเทศอื่นๆ ในยุโรปใต้

การปฏิรูปการศึกษา

นโปเลียนยังให้ความสำคัญกับการศึกษา โดยเห็นว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาสังคมและสร้างชาติให้มีความเข้มแข็ง เขาได้จัดตั้งโรงเรียนมัธยมศึกษาขึ้นมาในปี ค.ศ. 1802 ซึ่งมีชื่อว่า “Lycees” เพื่อสร้างระบบการศึกษาสำหรับนักเรียนชายโดยเฉพาะ โรงเรียนเหล่านี้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อผลิตบุคลากรที่มีความรู้และความสามารถในการทำงานทั้งในภาครัฐและกองทัพ อีกทั้งยังช่วยให้ฝรั่งเศสสามารถเตรียมกำลังพลที่มีความสามารถและพร้อมรับใช้ประเทศ นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นเพื่อพัฒนาวิชาการในหลายสาขา เช่น วิทยาศาสตร์และกฎหมาย

ระบบการศึกษาที่นโปเลียนจัดตั้งขึ้นถือเป็นการสร้างรากฐานสำคัญของระบบการศึกษาในฝรั่งเศสและยุโรป ที่ยังคงมีอิทธิพลจนถึงปัจจุบัน นโปเลียนเชื่อว่าการให้ความสำคัญกับการศึกษาจะช่วยสร้างชนชั้นผู้นำที่มีความสามารถในการปกครองและพัฒนาประเทศ

การปฏิรูปเศรษฐกิจและการเงิน

เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นโปเลียนได้ทำการปฏิรูปเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในด้านการเงินและการธนาคาร เขาได้ก่อตั้ง ธนาคารแห่งฝรั่งเศส (Banque de France) ในปี ค.ศ. 1800 ซึ่งมีหน้าที่ในการควบคุมการเงินของประเทศ และเป็นเครื่องมือในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากที่ฝรั่งเศสต้องเผชิญกับความเสียหายทางการเงินในช่วงการปฏิวัติ ธนาคารแห่งฝรั่งเศสทำหน้าที่ในการออกเงินตราและควบคุมอัตราดอกเบี้ย รวมถึงการสนับสนุนทางการเงินให้กับธุรกิจและการลงทุนต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ

นอกจากนี้ นโปเลียนยังให้ความสำคัญกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ เช่น ถนน สะพาน และระบบคมนาคม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ช่วยให้การค้าขายและการเดินทางระหว่างภูมิภาคต่างๆ ในฝรั่งเศสดีขึ้น ทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่อง

การปฏิรูปด้านศาสนา

นโปเลียนเป็นผู้นำที่มีความสามารถในการประนีประนอม แม้ว่าเขาจะพยายามลดอิทธิพลของคริสตจักรในการปกครอง แต่เขาก็ตระหนักว่าศาสนามีบทบาทสำคัญต่อสังคมฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1801 เขาได้ทำข้อตกลงกับสันตะปาปาปีโอที่ 7 (Pope Pius VII) ในสิ่งที่เรียกว่า Concordat of 1801 เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างฝรั่งเศสและคริสตจักรคาทอลิก ข้อตกลงนี้ทำให้คริสตจักรสามารถกลับมามีบทบาทในฝรั่งเศสได้อีกครั้ง แต่ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล ซึ่งช่วยให้ฝรั่งเศสมีความสงบเรียบร้อยในด้านศาสนาและลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในช่วงการปฏิวัติ

ข้อตกลง Concordat นี้ทำให้นโปเลียนสามารถควบคุมทั้งอำนาจทางการเมืองและทางศาสนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องเผชิญกับการต่อต้านจากประชาชนที่ศรัทธาในศาสนา และทำให้สังคมมีเสถียรภาพมากขึ้น

การปฏิรูปกองทัพ

นโปเลียนเชื่อว่ากองทัพคือหัวใจสำคัญของความยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศส การปฏิรูปกองทัพของเขาทำให้กองทัพฝรั่งเศสกลายเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในยุโรปในช่วงเวลานั้น นโปเลียนได้ปรับปรุงระบบการฝึกทหาร การวางแผน และยุทธวิธีการรบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เขายังสร้างระบบการเกณฑ์ทหารที่เรียกว่า Conscription ซึ่งบังคับให้ชายหนุ่มในฝรั่งเศสต้องเข้ารับการฝึกและปฏิบัติหน้าที่ในกองทัพ ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถของกองทัพให้มีจำนวนทหารมากเพียงพอที่จะใช้ในการรบทั้งในและนอกประเทศ

นโปเลียนยังเน้นการฝึกทหารให้มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการใช้ปืนใหญ่ ซึ่งเป็นอาวุธสำคัญในยุคสมัยนั้น การปฏิรูปกองทัพของเขาช่วยสร้างกองทัพที่มีความพร้อมและความสามารถในการป้องกันประเทศและขยายอาณาเขตไปในยุโรป

ความล้มเหลวและจุดจบ

แม้ว่านโปเลียน โบนาปาร์ตจะเป็นผู้นำที่มีความสามารถอย่างยิ่งในการปฏิรูปภายในประเทศและในสนามรบ แต่ความทะเยอทะยานในการขยายอาณาจักรของเขากลับเป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลาย ความพยายามในการยึดครองดินแดนในยุโรปและการต่อสู้กับกองกำลังพันธมิตรหลายชาติทำให้เขาต้องเผชิญกับความท้าทายและความพ่ายแพ้ที่นำไปสู่จุดจบของจักรวรรดิฝรั่งเศสในยุคนโปเลียน

การรณรงค์ในรัสเซีย (ค.ศ. 1812): จุดเริ่มต้นของความพ่ายแพ้

หนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดที่ทำให้อำนาจของนโปเลียนเริ่มเสื่อมถอยลงคือ การรณรงค์ในรัสเซียในปี ค.ศ. 1812 ความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสและรัสเซียเกิดขึ้นจากการที่นโปเลียนต้องการขยายอิทธิพลของตนให้ครอบคลุมทั่วยุโรป แต่รัสเซียภายใต้การนำของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 (Tsar Alexander I) ได้ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามนโยบายทางการค้าที่ฝรั่งเศสกำหนดขึ้นผ่านระบบ Continental System ที่นโปเลียนใช้เพื่อสกัดการค้าอังกฤษกับยุโรป

นโปเลียนจึงตัดสินใจนำกองทัพฝรั่งเศสที่มีทหารมากถึง 600,000 นายเข้าสู่รัสเซียเพื่อลงโทษการกระทำของซาร์ อย่างไรก็ตาม การรบในรัสเซียกลับกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ที่สุดในอาชีพการทหารของนโปเลียน เนื่องจากกองทัพฝรั่งเศสไม่ได้เตรียมพร้อมอย่างดีในการรับมือกับฤดูหนาวที่รุนแรงและการใช้กลยุทธ์ “ดินแดนว่างเปล่า” ของรัสเซีย (Scorched Earth Policy) ซึ่งทำให้กองทัพรัสเซียเผาทำลายเมืองและทรัพยากรต่างๆ ที่อาจเป็นประโยชน์ต่อกองทัพฝรั่งเศส ส่งผลให้กองทัพของนโปเลียนขาดอาหารและเสบียงที่จำเป็นในการรบ

การรบครั้งสำคัญในรัสเซียคือ ยุทธการโบโรดิโน (Battle of Borodino) ที่นโปเลียนสามารถชนะรัสเซียได้ในทางทฤษฎี แต่กลับไม่สามารถควบคุมเมืองมอสโกได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากชาวรัสเซียเผาเมืองทิ้งไปก่อนที่กองทัพฝรั่งเศสจะยึดครอง ความหนาวเย็นที่มาถึงในฤดูหนาว ค.ศ. 1812 ทำให้กองทัพของนโปเลียนต้องล่าถอยออกจากรัสเซีย และทหารจำนวนมากต้องเสียชีวิตจากความหนาวเหน็บและการโจมตีของกองทัพรัสเซียในระหว่างการล่าถอย

ผลจากการรณรงค์ครั้งนี้ทำให้นโปเลียนสูญเสียกำลังทหารอย่างมหาศาล โดยจากทหารกว่า 600,000 นายที่นำเข้าสู่รัสเซีย มีเพียงไม่ถึง 100,000 นายที่สามารถกลับมาฝรั่งเศสได้ การพ่ายแพ้ครั้งนี้ส่งผลให้ประเทศในยุโรปเริ่มเห็นถึงความอ่อนแอของนโปเลียน และทำให้พันธมิตรของฝรั่งเศสเริ่มเปลี่ยนไปอยู่ฝ่ายตรงข้าม

สงครามครั้งสุดท้ายและการล่มสลายของจักรวรรดิ

หลังจากความพ่ายแพ้ในรัสเซีย นโปเลียนพยายามฟื้นฟูกองทัพฝรั่งเศสและกลับมาทำสงครามกับพันธมิตรที่ประกอบด้วยประเทศต่างๆ ในยุโรป เช่น อังกฤษ รัสเซีย ปรัสเซีย และออสเตรีย ซึ่งได้รวมตัวกันเป็นพันธมิตรต่อต้านฝรั่งเศส (Sixth Coalition) กองทัพของนโปเลียนยังคงทำสงครามในยุโรปตลอดปี ค.ศ. 1813-1814 ในยุทธการที่รู้จักกันว่า สงครามเลพซิก (Battle of Leipzig) หรือ “ยุทธการประชาชาติ” (Battle of the Nations) ซึ่งเป็นการรบที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปช่วงเวลานั้น นโปเลียนต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังพันธมิตรที่มีจำนวนทหารมากกว่าฝรั่งเศสถึงสองเท่า ส่งผลให้ฝรั่งเศสต้องพ่ายแพ้

หลังจากยุทธการเลพซิก กองทัพพันธมิตรได้เดินทัพเข้าสู่ฝรั่งเศสและยึดครองกรุงปารีสในปี ค.ศ. 1814 ทำให้นโปเลียนต้องสละราชสมบัติและถูกเนรเทศไปยังเกาะเอลบา (Elba) ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แต่ถึงแม้นโปเลียนจะถูกเนรเทศ เขายังไม่ยอมแพ้กับความฝันในการกลับมามีอำนาจอีกครั้ง

การกลับมาของนโปเลียน: ร้อยวัน (The Hundred Days)

ในปี ค.ศ. 1815 นโปเลียนสามารถหลบหนีจากเกาะเอลบาและกลับมายังฝรั่งเศสได้โดยไม่ได้รับการต่อต้านจากกองทัพของกษัตริย์หลุยส์ที่ 18 (King Louis XVIII) ที่เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ นโปเลียนได้รับการต้อนรับจากประชาชนและกองทัพฝรั่งเศสด้วยความยินดี และเขาสามารถรวบรวมกองทัพใหม่เพื่อกลับมามีอำนาจอีกครั้งในช่วงเวลาที่เรียกว่า ร้อยวัน (The Hundred Days)

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาของการฟื้นฟูอำนาจของนโปเลียนสั้นมาก เพราะพันธมิตรยุโรปไม่สามารถยอมรับการกลับมาของเขาได้ และได้รวมตัวกันเพื่อกำจัดนโปเลียนอีกครั้ง การเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายของนโปเลียนเกิดขึ้นใน ยุทธการวอเตอร์ลู (Battle of Waterloo) เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1815 ที่เขาต้องเผชิญกับกองทัพของอังกฤษภายใต้การนำของดยุคแห่งเวลลิงตัน (Duke of Wellington) และกองทัพปรัสเซีย แม้ว่านโปเลียนจะใช้ยุทธวิธีการรบที่เชี่ยวชาญ แต่ด้วยกองกำลังที่มีน้อยกว่าฝ่ายพันธมิตร ทำให้เขาพ่ายแพ้ในยุทธการนี้

การเนรเทศและจุดจบที่เกาะเซนต์เฮเลนา

หลังจากพ่ายแพ้ที่วอเตอร์ลู นโปเลียนถูกจับกุมและถูกเนรเทศไปยัง เกาะเซนต์เฮเลนา (Saint Helena) ซึ่งเป็นเกาะที่อยู่ห่างไกลในมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ ที่นี่เขาถูกควบคุมตัวโดยทหารอังกฤษและไม่สามารถหลบหนีได้เหมือนครั้งก่อน นโปเลียนใช้ชีวิตอยู่ที่เกาะนี้เป็นเวลาประมาณ 6 ปี จนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1821 ขณะอายุ 51 ปี มีทฤษฎีเกี่ยวกับสาเหตุการตายของเขาหลายประการ โดยบางคนเชื่อว่าเขาเสียชีวิตจากมะเร็งกระเพาะอาหาร แต่บางทฤษฎีก็เสนอว่านโปเลียนอาจถูกวางยาพิษ

มรดกของนโปเลียน

แม้การสิ้นสุดของนโปเลียนจะเต็มไปด้วยความพ่ายแพ้และความล้มเหลว แต่ผลงานและมรดกที่เขาทิ้งไว้ยังคงมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อโลก โดยเฉพาะในด้านการปฏิรูปกฎหมาย การศึกษา และการเมือง ระบบกฎหมายโบนาปาร์ตที่เขาสร้างยังคงเป็นรากฐานของกฎหมายในหลายประเทศ และรูปแบบการปกครองแบบอำนาจนิยมที่เขาก่อตั้งมีอิทธิพลต่อการเมืองในยุโรปในศตวรรษที่ 19 ชื่อของนโปเลียน โบนาปาร์ตยังคงถูกกล่าวถึงในฐานะผู้นำที่มีความยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ แม้ว่าจะพบกับจุดจบที่โศกเศร้า

มรดกที่หลงเหลือ

แม้นโปเลียนจะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ผลงานและความสำเร็จของเขายังคงส่งผลกระทบต่อโลกจนถึงปัจจุบัน ระบบกฎหมายโบนาปาร์ตยังคงเป็นพื้นฐานของกฎหมายในหลายประเทศ การปฏิรูปสังคมและเศรษฐกิจของนโปเลียนได้สร้างรากฐานสำหรับระบบเศรษฐกิจและการเมืองในยุโรป และแน่นอนว่าชื่อของเขายังคงเป็นที่จดจำในฐานะผู้นำที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์

Facebook: https://www.facebook.com/robertiscream
Instagram: https://instagram.com/robertiscream
อ่าน Content อื่นของ Robert i Scream ได้ใน robert-i-scream.com

อ้างอิง

  1. Chandler, David G. (1995). The Campaigns of Napoleon. New York: Macmillan.
    หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานการวิจัยที่ละเอียดเกี่ยวกับการรณรงค์ทางทหารของนโปเลียน ครอบคลุมการต่อสู้หลัก ๆ ทั้งหมดในชีวิตของเขา รวมถึงการรณรงค์ในรัสเซียและยุทธการวอเตอร์ลู
  2. Roberts, Andrew (2014). Napoleon: A Life. New York: Viking Press.
    หนังสือชีวประวัติที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับชีวิตและผลงานของนโปเลียน โบนาปาร์ต พร้อมวิเคราะห์ถึงความสำเร็จและความล้มเหลวในช่วงท้ายของชีวิต
  3. Markham, Felix (1963). Napoleon. London: Penguin Books.
    หนังสือเล่มนี้นำเสนอเนื้อหาที่ครอบคลุมเกี่ยวกับนโปเลียน รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการพ่ายแพ้ในยุทธการวอเตอร์ลู และการล่มสลายของจักรวรรดิฝรั่งเศส
  4. Napoleon.org. Napoleon and the Russian Campaign of 1812.
    https://www.napoleon.org/en/history-of-the-two-empires/articles/the-russian-campaign-1812/
    เว็บไซต์นี้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการรณรงค์ในรัสเซียของนโปเลียน และการล่มสลายของกองทัพในช่วงฤดูหนาวอันโหดร้าย
  5. History.com Editors. Napoleon Bonaparte.
    https://www.history.com/topics/france/napoleon
    บทความนี้นำเสนอข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับชีวิตของนโปเลียน รวมถึงการสละราชสมบัติและการเนรเทศไปยังเกาะเซนต์เฮเลนา
  6. BBC History. Napoleon: The Rise and Fall of a Military Genius.
    https://www.bbc.co.uk/history/historic_figures/bonaparte_napoleon.shtml
    บทความจาก BBC นี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการขึ้นสู่อำนาจของนโปเลียนจนถึงการพ่ายแพ้ที่วอเตอร์ลูและการถูกเนรเทศไปยังเกาะเซนต์เฮเลนา