โรคไข้ดินคือ อะไร ? เป็นคำถามที่หลายคนเริ่มค้นหาหลังจากมีรายงานข่าวในบางพื้นที่เกี่ยวกับการแพร่กระจายของเชื้อโรคที่อยู่ในดินและน้ำ โดยเฉพาะในชุมชนที่มีเกษตรกรรมเป็นหลัก คนทั่วไปอาจไม่เคยได้ยินชื่อ “ไข้ดิน” มาก่อน แต่แท้จริงแล้ว โรคนี้มีชื่อทางการว่า เมลิออยโดสิส (Melioidosis) และสามารถพบได้ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน
โรคเมลิออยโดสิส หรือโรคไข้ดิน เป็นโรคติดเชื้อจากแบคทีเรีย Burkholderia pseudomallei ที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติในดินและแหล่งน้ำ โดยเฉพาะในเขตร้อนชื้น เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทางตอนเหนือของออสเตรเลีย เชื้อชนิดนี้สามารถคงอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานหลายปี โดยไม่ต้องพึ่งพาโฮสต์ใด ๆ ซึ่งทำให้การควบคุมและการระบาดของมันกลายเป็นเรื่องยากพอสมควร
สำหรับประเทศไทยเอง โรคไข้ดินคือ โรคที่มักพบมากในพื้นที่ภาคอีสาน เช่น จังหวัดอุบลราชธานี สุรินทร์ นครราชสีมา และขอนแก่น โดยกลุ่มเสี่ยงหลักคือเกษตรกร และผู้ที่ต้องทำงานสัมผัสดิน น้ำ หรือโคลนโดยตรง เช่น ชาวสวน คนงานก่อสร้าง หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ลงพื้นที่
เชื้อโรคในดิน เข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร?

เชื้อ Burkholderia pseudomallei สามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายช่องทาง เช่น
- ทางผิวหนังโดยผ่านบาดแผลเล็ก ๆ หรือรอยถลอก
- ทางการหายใจ เช่น สูดฝุ่นหรือละอองน้ำที่มีเชื้อปะปน
- ทางเดินอาหาร เช่น การดื่มน้ำดิบ หรือกินอาหารที่ล้างด้วยน้ำไม่สะอาด
ในบางราย เชื้ออาจไม่แสดงอาการทันที แต่สามารถแฝงตัวในร่างกายได้นานหลายปี และแสดงอาการเมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือมีโรคเรื้อรังร่วมด้วย
อาการของโรคไข้ดิน
อาการของผู้ป่วยจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยขึ้นอยู่กับทางที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย และสภาพร่างกายของผู้ติดเชื้อ อาการที่พบบ่อย ได้แก่
- มีไข้สูง หนาวสั่น เหงื่อออก
- ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ
- ไอ หอบ เหนื่อย เจ็บหน้าอก หากเชื้อเข้าสู่ปอด
- ปวดท้อง อาเจียน ท้องเสีย หากรับเชื้อทางปาก
- มีฝีเรื้อรังที่ผิวหนัง หรือตามอวัยวะภายใน เช่น ตับ ปอด ม้าม
- หากเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด อาจทำให้เกิดภาวะติดเชื้อรุนแรงและเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว
การวินิจฉัยและการรักษา
การวินิจฉัยต้องอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การเพาะเชื้อจากเลือด เสมหะ หรือของเหลวจากฝี ซึ่งใช้เวลาหลายวันจึงจะได้ผลแน่ชัด ทำให้แพทย์ในพื้นที่เสี่ยงมักเริ่มให้ยาปฏิชีวนะตั้งแต่เบื้องต้น
การรักษาแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่
- ระยะเร่งด่วน (Intensive phase)
ใช้ยาฉีด เช่น Ceftazidime หรือ Meropenem เป็นเวลา 10–14 วัน - ระยะกำจัดเชื้อ (Eradication phase)
ใช้ยารับประทาน เช่น Trimethoprim-sulfamethoxazole ต่อเนื่องอย่างน้อย 3 เดือน
หากผู้ป่วยหยุดยาหรือรักษาไม่ครบ อาจทำให้เชื้อกลับมาได้อีก และเสี่ยงต่อการดื้อยา
ใครคือกลุ่มเสี่ยงของโรคไข้ดิน?
- เกษตรกร ชาวนา ชาวสวน ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับดินและน้ำ
- คนที่มีแผลแล้วสัมผัสดินหรือโคลน
- ผู้ที่อาศัยหรือทำงานในพื้นที่เสี่ยง เช่น ภาคอีสาน
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน, โรคไต, ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV
ผู้ป่วยเบาหวานเป็นกลุ่มที่มีโอกาสติดเชื้อรุนแรง และเสียชีวิตจากโรคนี้มากที่สุดในประเทศไทย
วิธีป้องกันโรคไข้ดิน
- หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าในพื้นที่น้ำขัง โคลน หรือนาชื้น
- สวมรองเท้าบูท ถุงมือ เสื้อคลุมแขนยาว เมื่อทำงานกลางแจ้ง
- ล้างมือให้สะอาดทันทีหลังสัมผัสดิน น้ำ หรือโคลน
- อย่าดื่มน้ำดิบหรือใช้น้ำจากแหล่งธรรมชาติโดยไม่ผ่านการต้ม
- ดูแลแผลให้สะอาดและปิดแผลก่อนลงมือทำงาน
- สำหรับผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้มีโรคเรื้อรัง ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงในช่วงฤดูฝน
โรคไข้ดินในประเทศไทย: เงียบแต่มีอยู่จริง
แม้โรคเมลิออยโดสิสจะไม่อยู่ในกลุ่มโรคติดต่อที่ต้องรายงานทันที แต่ในหลายจังหวัด โดยเฉพาะภาคอีสาน มีรายงานผู้ป่วยหลายพันรายต่อปี และมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 30–40% ในกลุ่มเสี่ยง
การเฝ้าระวังเชิงรุก การให้ความรู้ในชุมชน และการส่งเสริมการวินิจฉัยที่แม่นยำจึงเป็นหัวใจสำคัญของการลดความสูญเสียจากโรคไข้ดิน
สรุป
โรค ไข้ ดิน คืออะไร? คือโรคเมลิออยโดสิส ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อจากเชื้อแบคทีเรียในดินและน้ำที่ชื่อว่า Burkholderia pseudomallei โรคนี้ไม่เพียงแค่ส่งผลต่อสุขภาพ แต่ยังเป็นภัยเงียบที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่เกษตรกรรม การรู้เท่าทัน ป้องกัน และรีบพบแพทย์เมื่อมีอาการต้องสงสัย คือวิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับโรคนี้
อ่านบทความสาระสุขภาพอื่น ๆ ได้ที่ Robert i Scream
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคเมลิออยโดสิสสามารถอ่านต่อได้ที่ CDC – Melioidosis ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลอย่างเป็นทางการจากศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐอเมริกา
หากต้องการแปลงบทความนี้เป็น Infographic, โพสต์ Facebook หรือ Script วิดีโอ TikTok / Reels ผมสามารถจัดให้ได้เลยครับ ✅