Home Lifestyle Health โรคเก๊าท์คืออะไร : อาการและการวินิจฉัย

โรคเก๊าท์คืออะไร : อาการและการวินิจฉัย

202
0

โรคเก๊าท์คืออะไร : โรคเก๊าท์ (Gout) เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในเลือดที่สูงเกินไป กรดยูริกเป็นสารเคมีที่เกิดจากการสลายของพิวรีน (Purine) ซึ่งเป็นสารที่พบได้ในอาหารหลายชนิด เช่น เนื้อสัตว์ อาหารทะเล และเครื่องในสัตว์ เมื่อกรดยูริกสะสมในเลือดมากเกินไป จะเกิดการตกตะกอนเป็นผลึกในข้อต่อ ทำให้เกิดการอักเสบและปวดอย่างรุนแรง

ประวัติความเป็นมาของโรคเก๊าท์

โรคเก๊าท์เป็นโรคที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน โดยถูกบันทึกเป็นครั้งแรกในสมัยกรีกโบราณและโรมันโบราณ ในอดีต โรคเก๊าท์มักถูกเรียกว่า “โรคของกษัตริย์” หรือ “โรคของคนร่ำรวย” เนื่องจากมักเกิดขึ้นในคนที่มีวิถีชีวิตหรูหราและบริโภคอาหารที่มีพิวรีนสูง แต่ปัจจุบันนี้ โรคเก๊าท์สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกกลุ่มคน ไม่ว่าจะมีฐานะอย่างไรก็ตาม

ปัจจัยเสี่ยงของโรคเก๊าท์

โรคเก๊าท์คืออะไร
  1. พันธุกรรม: ถ้ามีประวัติครอบครัวที่เป็นโรคเก๊าท์ ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเก๊าท์ก็จะสูงขึ้น
  2. เพศและอายุ: โรคเก๊าท์พบได้บ่อยในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และมักเกิดในวัยกลางคนและผู้สูงอายุ
  3. อาหารและเครื่องดื่ม: การบริโภคอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เนื้อแดง อาหารทะเล เครื่องในสัตว์ และการดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเก๊าท์
  4. โรคประจำตัว: โรคบางอย่าง เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคอ้วน จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเก๊าท์
  5. การใช้ยา: ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ และยาที่ใช้รักษาความดันโลหิตสูง สามารถเพิ่มระดับกรดยูริกในเลือด

อาการของโรคเก๊าท์

  1. ปวดข้อเฉียบพลัน: อาการปวดข้อเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรง มักเกิดในช่วงกลางคืน ข้อที่พบบ่อยคือข้อเท้า หัวแม่เท้า ข้อเข่า ข้อศอก ข้อมือ และนิ้วมือ
  2. บวมและแดง: ข้อที่อักเสบจะบวม แดง ร้อน และมีความไวต่อการสัมผัส อาการนี้อาจทำให้การเคลื่อนไหวของข้อต่อที่ได้รับผลกระทบยากลำบาก
  3. การเคลื่อนไหวจำกัด: อาการปวดและอักเสบทำให้การเคลื่อนไหวข้อต่อต่างๆ ยากลำบาก การเคลื่อนไหวของข้อต่อที่ได้รับผลกระทบจะถูกจำกัดและเจ็บปวด
  4. เกิดซ้ำ: อาการของโรคเก๊าท์มักเกิดขึ้นซ้ำๆ หากไม่ได้รับการรักษาและดูแลอย่างเหมาะสม การเกิดซ้ำของอาการอาจทำให้ข้อต่อเสียหายอย่างถาวร

การวินิจฉัยโรคเก๊าท์

การวินิจฉัยโรคเก๊าท์สามารถทำได้โดยการตรวจสอบอาการและการทำตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่

  1. การตรวจเลือด: ตรวจวัดระดับกรดยูริกในเลือด หากมีระดับสูงเกินไป อาจเป็นสัญญาณของโรคเก๊าท์ อย่างไรก็ตาม การมีระดับกรดยูริกสูงไม่จำเป็นต้องเป็นโรคเก๊าท์เสมอไป
  2. การเจาะน้ำในข้อ: แพทย์จะทำการเจาะน้ำในข้อที่อักเสบเพื่อตรวจหาผลึกกรดยูริกใต้กล้องจุลทรรศน์ วิธีนี้เป็นวิธีที่แน่นอนที่สุดในการวินิจฉัยโรคเก๊าท์
  3. การตรวจเอ็กซ์เรย์: ใช้เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของข้อต่อและการสะสมของผลึกกรดยูริก เอ็กซ์เรย์สามารถแสดงการเสียหายของข้อต่อที่เกิดจากโรคเก๊าท์
  4. การตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะ: ตรวจเพื่อดูการขับกรดยูริกจากร่างกาย การวิเคราะห์ปัสสาวะสามารถช่วยให้เข้าใจถึงการขับกรดยูริกและสาเหตุของการสะสมของกรดยูริกในเลือด

การรักษาและการจัดการโรคเก๊าท์

  1. การใช้ยา: มียาหลายประเภทที่ใช้รักษาโรคเก๊าท์ เช่น
    • ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs): เพื่อบรรเทาอาการปวดและอักเสบ ยาโคลชิซิน (Colchicine) เพื่อบรรเทาอาการปวดเฉียบพลัน
    • ยาลดกรดยูริก (Uricosuric agents): เช่น อัลโลพูรินอล (Allopurinol) เพื่อควบคุมระดับกรดยูริกในเลือด
  2. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค: หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีกรดยูริกสูง เช่น เนื้อแดง อาหารทะเล เครื่องในสัตว์ และแอลกอฮอล์ การบริโภคอาหารที่มีกรดยูริกต่ำ เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเก๊าท์
  3. การควบคุมน้ำหนัก: การลดน้ำหนักจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเก๊าท์ เนื่องจากน้ำหนักที่มากเกินไปจะเพิ่มการผลิตกรดยูริกและลดความสามารถของร่างกายในการขับกรดยูริก
  4. การดื่มน้ำมากๆ: การดื่มน้ำอย่างเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายขับกรดยูริกออกจากร่างกายได้ดีขึ้น การดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวันจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเก๊าท์
  5. การออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอจะช่วยปรับปรุงสุขภาพทั่วไปและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเก๊าท์ การออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดิน ว่ายน้ำ หรือโยคะ จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและลดการสะสมของกรดยูริก

การป้องกันโรคเก๊าท์

การป้องกันโรคเก๊าท์สามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ได้แก่

  • การรับประทานอาหารที่มีกรดยูริกต่ำ: หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เนื้อแดง อาหารทะเล และเครื่องในสัตว์ เลือกบริโภคอาหารที่มีกรดยูริกต่ำ เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช
  • การดื่มน้ำมากๆ: การดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวันจะช่วยให้ร่างกายขับกรดยูริกออกจากร่างกายได้ดีขึ้น
  • การควบคุมน้ำหนัก: การรักษาน้ำหนักที่เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเก๊าท์
  • การหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์: แอลกอฮอล์จะเพิ่มการผลิตกรดยูริกในร่างกาย การหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเก๊าท์
  • การออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอจะช่วยปรับปรุงสุขภาพทั่วไปและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเก๊าท์

ผลกระทบของโรคเก๊าท์ต่อชีวิตประจำวัน

โรคเก๊าท์สามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันในหลายด้าน เช่น

  1. การเคลื่อนไหวและการทำกิจวัตรประจำวัน: อาการปวดและอักเสบทำให้การเคลื่อนไหวข้อต่อต่างๆ ยากลำบาก การเคลื่อนไหวของข้อต่อที่ได้รับผลกระทบจะถูกจำกัดและเจ็บปวด
  2. คุณภาพชีวิต: อาการปวดและอักเสบจากโรคเก๊าท์สามารถทำให้คุณภาพชีวิตลดลง เนื่องจากไม่สามารถทำกิจกรรมที่ต้องการได้ตามปกติ
  3. ผลกระทบต่อสุขภาพจิต: ความเครียดและความกังวลจากการมีอาการปวดและอักเสบอย่างต่อเนื่องสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต

การดูแลตนเองและการรักษาต่อเนื่อง

การดูแลตนเองและการรักษาต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการโรคเก๊าท์ ได้แก่

  1. การรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ: รับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมระดับกรดยูริกและลดอาการอักเสบ
  2. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค: หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีกรดยูริกสูง และเลือกบริโภคอาหารที่มีกรดยูริกต่ำ
  3. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: ออกกำลังกายเบาๆ อย่างสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและลดการสะสมของกรดยูริก
  4. การดื่มน้ำมากๆ: ดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวันเพื่อช่วยให้ร่างกายขับกรดยูริกออกจากร่างกาย
  5. การตรวจสุขภาพประจำปี: ตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อเฝ้าระวังระดับกรดยูริกในเลือดและตรวจสอบสภาพข้อต่อ

บทสรุป

โรคเก๊าท์เป็นโรคที่สามารถจัดการและรักษาได้ หากได้รับการวินิจฉัยและดูแลอย่างถูกต้อง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยลดการเกิดอาการและป้องกันการเกิดซ้ำในอนาคต การดูแลตนเองและการรักษาต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมโรคเก๊าท์และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับโรคเก๊าท์ หากมีคำถามเพิ่มเติมหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการรักษาหรือการป้องกันโรคเก๊าท์ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม

Facebook: https://www.facebook.com/robertiscream
Instagram: https://instagram.com/robertiscream
อ่าน Content อื่น ของ Robert i Scream ได้ใน robert-i-scream.com